tag:blogger.com,1999:blog-16299047254867414832024-03-13T21:30:19.413-07:00ประวัติภูกระดึงประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.comBlogger6125tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-75883721043649033612010-01-29T06:51:00.000-08:002010-01-29T06:53:04.705-08:00ตำนานภูกระดึงมีหลายเว็บไซต์ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-16550727788336926432010-01-29T06:37:00.000-08:002010-01-29T06:44:27.541-08:00ประวัติภูกระดึง ความเป็นมา และตำนาน<div><a href="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2Lzdi69hlI/AAAAAAAAACE/CqvvBC_Kl1k/s1600-h/untitled.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432171789478102610" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 300px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2Lzdi69hlI/AAAAAAAAACE/CqvvBC_Kl1k/s400/untitled.bmp" border="0" /></a><br /><br /><p><span style="font-size:180%;">ประวัติภูกระดึง ความเป็นมา และตำนาน</span></p><br /><br /><p><span style="font-size:180%;"><br /></span>อ่าน ประวัติภูกระดึง ก่อนจะไปเที่ยวภูกระดึง จะทำให้เรารู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ในแต่ละจุดที่เราผ่านไป และเที่ยวได้อย่างสนุก บางคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าครั้งหนึ่ง ภูกระดึงเคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน ดังจะเห็นได้จากการที่มีการค้นพบซากฟอสซิวต่างๆและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่บ่งบอกได้ เอาล่ะ มาดูกันว่า ประวัติภูกระดึง และการค้นพบ มีที่มาที่ไปอย่างไร<br /><span style="font-size:180%;">ประวัติภูกระดึง</span><br />ตามตำนานภูกระดึงนั้น มีเรื่องเล่าว่า มีพรานผู้หนึ่งตามล่ากระทิงโทน ขึ้นไปจนถึงบนยอดเขาลูกหนึ่งในเขตตำบลศรีฐาน ได้พบพื้นที่บนยอดเขาราบเรียบและกว้างใหญ่มากเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน มีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างเรียงรายเป็นระเบียบ และยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า ฝูงกระทิง เก้ง กวาง ซึ่งหากินอยู่เป็นฝูง ๆ ไม่ตระหนกตื่นกลัวนายพราน เนื่องจากไม่เคยเห็นคนมาก่อน นับจากนั้นมา ภูกระดึงก็เริ่มเปิดตัวเองสู่สายตาชาวโลก<br />ภูกระดึงซึ่งธรรมชาติได้ปิดซ่อนเร้นมานานก็ถูกเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักแต่นั้นมาจากการเล่าลือกันมาแต่โบราณว่า มีผู้ได้ยินเสียงระฆังของพระอินทร์ที่อยู่บนเขานี้ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า ภูกระดึง หรือ ภูกะดึง เพราะคำว่า “ภู” หมายถึง ภูเขา และ “กระดึง” มาจาก “กระดิ่ง” ภาษาพื้นเมืองจังหวัดเลยแปลว่า “ระฆังใหญ่”นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับขนานนามว่า “ภูกระดึง”<br />ภูกระดึง เป็นที่รู้จักกันมานาน ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 สมุหเทศาภิบาล (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม)ได้ทำรายงานสภาพภูมิศาสตร์เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย และต่อมาในปี พ.ศ.2463 นายอำเภอวังสะพุง ซึ่งปกครองท้องที่เขตภูกระดึงในขณะนั้นได้ขึ้นไป สร้างพระพุทธรูปไว้บนยอดภูกระดึงองค์หนึ่ง ในปี พ.ศ. 2486 ทางราชการได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าภูกระดึงให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติและกรมป่าไม้ เริ่มดำเนินการสำรวจ เพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นที่ภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นแห่งแรก แต่เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณและเจ้าหน้าที่จึงให้ดำเนินการไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น<br /><span style="font-size:180%;">มารู้จักกับอุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง<br /></span>ภูกระดึง นับเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432172546388428978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 300px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2L0JmociLI/AAAAAAAAACM/B6ioEAVJmqE/s400/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%B0.bmp" border="0" /><br /><span style="font-size:180%;">เวลาเปิด-ปิด ภูกระดึง<br /></span>สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย<br /></p></div>ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-72382022566246618242010-01-29T05:15:00.000-08:002010-01-29T05:22:08.721-08:00"ภูกระดึง" ตำนานแห่งภูภาคอีสาน<a href="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2Lg7VX65aI/AAAAAAAAAB0/pj51KfYwtg4/s1600-h/imagesCAUBXUXY.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432151410516616610" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 95px; CURSOR: hand; HEIGHT: 139px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2Lg7VX65aI/AAAAAAAAAB0/pj51KfYwtg4/s400/imagesCAUBXUXY.jpg" border="0" /></a><br /><div>คำขัวญจังหวัดเลย</div><br /><div>เมื่องแห่งทะเลภูเขาสุดหนาวในสยามดอกไม้สามฤดู</div><br /><div></div><br /><div>When most of the sea, mountains, winter flowers in three seasons Siam.</div><br /><div></div><br /><div><a href="http://onknow.blogspot.com/2009/04/blog-post_8257.html">"ภูกระดึง" ตำนานแห่งภูภาคอีสาน</a><br />"ลมที่โชยพัด ต้นหญ้าใบไม้ปลิว แดดที่อ่อนใส หอมกลิ่นของวันใหม่"ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ฤดูหนาว ที่ท้องฟ้าสดใส ลมหนาวโชยมาเบาๆเหมาะแก่การเกี่ยวก้อยกันไปเที่ยวป่าเที่ยวดอยเป็นอย่างยิ่ง<br />และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวยามหน้าหนาวแล้ว "ภูกระดึง"นับเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ติดอันดับต้นๆของเมืองไทยที่พอลมหนาวมาเยือนทีไร หนุ่ม-สาวผู้รักการผจญภัยมักจะออกเดินทางขึ้นไปพิชิตยอดภูแห่งนี้<br />แม้ว่าวันนี้ พ.ศ. นี้ ภูกระดึงจะคลายมนต์ขลังลงไปจากอดีตแต่ว่าเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับตำนานของภูกระดึงก็ยังคงมีเสน่ห์อยู่ไม่รู้คลาย โดยภูกระดึงนั้นเดิมทีเป็นดังดินแดนลึกลับที่ชาวบ้านในอดีตแถวนั้นเล่าขานกันว่าจะได้ยินเสียงระฆังดังแว่วมาจากยอดภูสูงที่ไม่เคยมีใครย่างกรายไปถึงและก็น่าแปลกตรงที่เสียงระฆังจะดังก้องมาให้ได้ยินเฉพาะวันพระหรือวันโกนเท่านั้น!!<br />ชาวบ้านรอบๆเชิงเขาต่างคิดว่าบนยอดเขานั้นอาจจะมีบ้านเรือนผู้คนหรือวัดอยู่แต่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นผู้คนจากยอดเขาเลย<br />ว่ากันว่า เสียงระฆังปริศนาที่ได้ยินกันนั้น ดังมาจาก"หมู่บ้านผีบังบด"เป็นหมู่บ้านลับแลที่ไม่มีเคยมีใครมองเห็นหรือผ่านมาพบเจอได้เลยเมื่อใดที่มีคนเข้ามาใกล้หมู่บ้านแล้วละก็หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านจะหายวับไปกับตา กลายเป็นป่าทันที<br />การที่ได้ยินเสียงระฆังเฉพาะดังเฉพาะวันพระนั้นก็เชื่อกันว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์จากสรวงสวรรค์เลยเรียกฐานภูอันเร้นลับนี้ว่า "ภูกระดึง" ซึ่งคำว่า "ภู" หมายถึง ภูเขาและคำว่า "กระดึง" นั้นภาษาพื้นเมืองของ จ.เลยหมายถึงกระดิ่งหรือระฆังใหญ่ รวมแล้ว ภูกระดึง จึงหมายความถึงภูเขาที่มีเสียงระฆังนั่นเอง<br />แต่ภูเขายอดแห่งนี้ก็ยังเป็นที่เร้นลับสำหรับคนทั่วไปดังเดิม จนกระทั่ง.....<br />มีนายพรานที่เก่งกาจเรื่องการล่าสัตว์มากคนหนึ่งเดินทางรอนแรมป่ามาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์จึงกลับไปอพยพครอบครัวจากนครจำปาศักดิ์ มาตั้งบ้านเรือนบริเวณนี้<br />ซึ่งปัจจุบันก็คือบ้านผานกเค้าจนวันหนึ่งนายพรานได้ออกล่าสัตว์ตามรอยกระทิงโทรติดต่อกันอยู่หลายวันได้มาถึงยังเชิงเขาแห่งหนึ่ง ร่องรอยของกระทิงยิ่งชัดเจนขึ้นแม้ทางจะยากลำบาก<br />แต่ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าได้สร้างความประหลาดใจเป็นที่สุดเมื่อพบว่ายอดเขาที่ควรจะเป็นทรงแหลมกลับเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ไกลสุดตางดงามสวยสะพรั่งไปด้วยป่าไม้นานาพรรณกลางท้องทุ่งกว้างเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์หากินกันอย่างอิสระเสรี<br />นายพรานจึงได้กลับมาเล่าเรื่องราวให้ชาวบ้านฟัง....เมื่อนั้นเรื่องราวของภูกระดึงจึงเปิดเผยจนเป็นที่ร่ำลือในความงามบริสุทธิ์ของยอดเขาแห่งนี้.....นับแต่นั้นมา<br />และ ในวันนี้...ภูกระดึงเป็นอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและยังเป็นคงเป็นที่ที่ได้รับคำร่ำลือถึงความสวยงามนี้อย่างไม่รู้จบตราบเมื่อที่แห่งนี้ยังมีธรรมชาติที่สมบูรณ์และคนเดินทางยังมีสำนึกต่อธรรมชาติ<br /><a href="http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=4689635053872">http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=4689635053872</a></div>ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-54721505912701532582010-01-29T01:16:00.000-08:002010-01-29T01:18:43.708-08:00Dr. A. F. G. Kerr: หมอไอริช - นักพฤกษศาตร์ ผู้พิชิตภูกระดึง โดย ลุงจิ๊บ แห่ง sabuy.com<div><a href="http://2.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KntOsVKUI/AAAAAAAAABk/SohcTlPB038/s1600-h/kerr2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432088496042223938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 284px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KntOsVKUI/AAAAAAAAABk/SohcTlPB038/s400/kerr2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><br /></div><br /><br /><div>คุณหมอ Kerr หนึ่งในชาวต่างชาติผู้พิชิตภูกระดึงเป็นพวกแรก<br />นอกจาก "นายพราน" ตามตำนานเล่าขานที่ตามกระทิงขึ้นภูกระดึงแล้ว หนึ่งในบุคคลกลุ่มแรก ๆ ที่ได้ขึ้นไปสำรวจภูกระดึง(หรือน่าจะเป็นชาวต่างชาติคนแรกด้วยซ้ำ) คือ Dr. A. F. G. Kerr ที่ได้ขึ้นไปสำรวจ และเก็บตัวอย่างพรรณไม้แห้งบนภูกระดึง ในอดีต ซึ่งคงน่าสนใจไม่น้อยเพราะ พืชพันธุ์บนภูมีความแตกต่างจากต้นไม้บนพื้นราบรอบข้างอย่างชัดเจน เพราะเป็นพืชประเภทสน ที่อยู่ในเขตอบอุ่นหรือเมืองหนาว<br />การสำรวจคราวนั้นจะเป็นเมื่อปีพ.ศ.ใดไม่ทราบชัด แต่ในหนังสือ "ป่าไม้และพรรณพฤกษชาติ ภูกระดึง" ของคุณ ธวัชชัย สันติสุข ผู้อำนวยการส่วนพฤกษศาตร์ป่าไม้ นั้นระบุว่าน่าจะเป็นสมัยก่อนหน้าปี 2463 ก่อนหน้าการสร้างพระพุทธเมตตาบนภูกระดึง เส้นทางที่ใช้ก็ขึ้นจากบริเวณบ้านศรีฐาน<br />อันที่จริง Dr. A. F. G. Kerr เดิมทีเป็นนายแพทย์ชาวไอร์แลนด์ ที่รับราชการอยู่กับรัฐบาลไทย ต่อมาได้หันความสนใจมาสู่เรื่องพันธุ์พืชในประเทศไทย และหันมารับราชการเป็นนักพฤกษศาตร์ จนเป็นหัวหน้ากองตรวจพันธุ์รุกขชาติ กระทรวงพาณิชย์(ในสมัยนั้นสังกัดกระทรวงพาณิชย์)<br />จากการค้นคว้าเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ทีมสบายได้พบว่า คุณหมอท่านนี้ ยังเป็นนักพฤกษศาตร์คนสำคัญของประเทศไทย และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ได้เก็บตัวอย่างพืชพันธุ์กว่า 2 หมื่นชนิดในไทย ในระหว่างการทำงานในช่วงปี 1902- 1932<br />ตัวอย่างความสำคัญของคุณหมอจะเห็นได้จาก พันธ์ไม้ตระกูลบัวผุด (Raffiesia) ที่พบในประเทศไทยได้รับการตั้งชื่อเป็นพันธ์ของโลก ในปี พ.ศ.2527 ว่า Raffiesia Kerrti Meijer โดย Dr.M.Meijer จากมหาวิทยาลัย Kentucky ประเทศอเมริกา โดยตั้งชื่อพฤกษศาสตร์สากลเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr.A.F.G.Kerr นายแพทย์ไอริช ผู้สำรวจพันธ์ไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อปี พ.ศ. 2472<br />คุณหมอ Kerr หนึ่งในชาวต่างชาติผู้พิชิตภูกระดึงเป็นพวกแรก ภาพจากเว็บไซต์ภาคภาษาอังกฤษของกรมป่าไม้ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432088649030826898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 207px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2Kn2Inp-5I/AAAAAAAAABs/OapwKz5BA3o/s400/kerr1.jpg" border="0" /></div></div>ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-39559445323920172292010-01-29T01:07:00.000-08:002010-02-16T04:41:53.153-08:00ตำนานภูกระดึง ๒<strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong><br /><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KlncIG7II/AAAAAAAAABU/M6haZwNeV68/s1600-h/NP11S1T1P1N3E.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432086197545921666" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 201px; CURSOR: hand; HEIGHT: 198px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KlncIG7II/AAAAAAAAABU/M6haZwNeV68/s400/NP11S1T1P1N3E.jpg" border="0" /></a></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;color:#6666cc;"></span></strong></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span></div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#666666;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">กระทิงเปลี่ยวเลี้ยวย่านผ่านเนินเขา</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">พรานหน้าเศร้าเฝ้าตามสามภูผา</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">มาประจบพบสนสานตะการตา</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">ต้องครั้นคราสัตว์ใหญ่น้อยนับร้อยพัน</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">ทั้งเก้งกลิ้งกระทิงใหญ่ทั่วไพรพฤกษ์</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">หมูป่าคึกกระโดดโลดโผนผัน</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">ทุ่งหลังแปภูกระดึงถูกโจษจัน</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">ผ่านคืนวันเป็นตำนานเล่าขานมา<br /></span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;"></span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Wild gaur turn over hill district. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Woodsman haggard look as the third mountain. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">To find the string continue courting the eye Ota. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">But most animals have less occasion hundreds of thousands. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Barking deer and gaur rolling around private. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Boar impulsively jump riveting diversion. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Tung been rumor after Japan. </span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">Through the night on the legendary relate to</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;"></span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;">ประพันธ์โดย ยางโทน(นายสบาย) จากเว็บ sabuy.com</span></div><div align="center"><br />ตำนานภูกระดึง เริ่มแรกเราต้องมาแยกคำกันก่อนครับภูกระดึงเกิดจาก "ภู" + "กระดึง" คำว่าภูหมายถึงภูเขาสูง ส่วนคำว่ากระดึง หากพิจารณาแบบรวบรัดแบบไม่มีข้อมูลตำนาน ก็จะบอกไปว่ากระดึงที่ผูกคอวัวบ้าง เสียงกระดึงวัวบ้าง</div><br /><br />สำหรับคนกรุงเทพฯที่ไม่รู้จักบ้านนอกดีพอ ขอเสริมว่า ไอ้เจ้า "กระดึง" ที่ว่านี้หมายถึง อุปกรณ์พื้นบ้านชนิดหนึ่งทำจากไม้หรือโลหะเอาไว้ผูกคอวัว หรือควายให้มีเสียงดังเวลาเดินนั่นเอง<br />ตามตำนานจริงๆ เล่าขานนานหลายชั่วคน บ้างก็ว่า เกิดจากมีชาวบ้านละแวกภูแห่งนี้ ยามที่ฟ้าใสแดดดี ไม่มีเมฆฝน จะแว่วได้ยินเสียงกระดิ่งมาจากภูสูงแห่งนี้ จึงเรียงกันว่า "ภูกระดิ่ง" บ้างก็ว่ามีเสียงกระดิ่ง เสียงระฆัง เหมือนราวกับวันพระวันโกน หรือว่ามีวัดมีโบสถ์ตั้งอยู่บนยอดเขากันแน่<br />ต่อมาก็คงพอจะเดากันออก เห็นตำนานเก่าแทบทุกเรื่องมักยกอ่าวว่าเสียงเพี้ยนไป นายสบายขอยกตัวอย่าง ขนาดคำว่า "บ้านมังกร" ยังเพี้ยนเป็น "บางประกง" ได้เลย นับประสาอะไรที่ "ภูกระดิ่ง" นานวันก็เพี้ยนเป็น "ภูกระดึง" ในที่สุดครับ<br />แล้วใครเป็นคนแรกกันล่ะที่ได้ขึ้นภูกระดึง ว่ากันว่า เพิ่งขึ้นกันไม่กี่ร้อยปีนี่เอง ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะที่นี่ต่างจากภูอื่น ๆ ในภาคอีสาน อย่างเช่น ภูพระบาท(อุดร) หรือ ภูเวียง(ขอนแก่น) ที่มีร่องรอยอารยธรรมโบราณ แต่ที่ภูกระดึงนี่จุดที่มีภาพเขียนสีฝ่ามือแดงยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็เป็นที่เชิงภู บริเวณใกล้เคียงกับบ้านนาน้อย ใต้ผาหมากดูก และผาเมษาเท่านั้น<br />เรื่องเล่าภูกระดึงยังมีต่ออีกนิดนึงครับ ไปค้นประวัติภูกระดึงมากี่เล่ม ๆ ก็เจอตรงกัน ว่ากันว่ากาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนายพรานหาญกล้าผู้หนึ่ง จากละแวกบ้านศรีฐาน ที่เชิงภูนี่ล่ะ ได้เดินทางตามล่า แกะรอยกระทิงโทน ขึ้นสูงเรื่อย ๆ ไปบนยอดภูสูง ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด สิ่งที่นายพรานป่ารายนั้นได้พบ และต้องตะลึงงงด้วยความมหัศจรรย์คือ บนยอดเขาที่ราบเรียบกว้างใหญ่แห่งนี้ ประกอบไปด้วย ทุ่งหญ้า ป่าสน ธารน้ำไหลริน ผืนป่าและอากาศสดใสเย็นสบายผิดจากเบื้องล่าง<br />นอกจากนี้ยังมี สัตว์ป่านานาชนิด เช่น ฝูงกระทิง กวาง เก้ง หมูป่า และสัตว์อื่นๆ หากินเป็นฝูงๆ มากมาย ที่สำคัญ สัตว์พวกนี้ ไม่กลัวคนแต่อย่างไร อันเนื่องจากจาก ไม่เคยเห็นคนมาก่อน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ภูกระดึงที่เคยถูกปิดบังไว้ กลับถูกเปิดเผยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ<br />สวนสวรรค์บนดินที่ถูกค้นพบโดยพรานป่านี้ ได้เลื่องลือกันไปทั่ว หากแต่สมัยก่อนการสื่อสารยังจำกัด การคมนาคมยังลำบาก จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม สมุหเทศาภิบาล ซึ่งดูแลหัวเมืองฝั่งอีสานได้รับรายงานเรื่องนี้ และส่งเข้าส่วนกลางที่มหาดไทย<br />หลังจากนั้นเวลาล่วงเลยมาอีก ยังไม่มีการดำเนินการอย่างไรกับภูกระดึง เพราะการคมนาคมห่างไกล สมัยนั้น รถไฟมีถึงแค่โคราช ป่าดงพญาไฟ ยังร้อนแรงด้วยไข้ป่า ข้างสายเหนือรถไฟที่ขึ้นลำปางและเชียงใหม่จอดสถานีที่ใกล้ที่สุดแค่ตะพานหิน ในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ยังเป็นดงดิบ ที่จะเข้าถึงได้ก็ต้องล่องเรือผ่านลำน้ำป่าสัก เส้นทางถนนช่องสาริกา ลำนารายณ์ ขึ้นหล่มเก่า ยังไม่มีจนกว่าจะถึงสงครามโลก<br />มีเพียงชาวบ้านและข้าราชการละแวกนั้น นำโดยหลวงวิจิตรคุณสาร นายอำเภอวังสะพุงในขณะนั้น ได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างองค์พระพุทธรูปขึ้นบนลานหินกลางทุ่งกว้างป่าสนบนยอดภูเมื่อปี 2463 แรกเริ่มเดิมทีองค์พระที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านหลายตำบลนี้ยังไม่มีชื่อ แต่ต่อมาในปี 2526 สมเด็จพระศรีณครินทราบรมราชชนนีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้บูรณะองค์พระและบริเวณลานหินโดยรอบ และพระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า "พระพุทธเมตตา"<br />ที่น่าสนใจก็คือ บริเวณลานพระแห่งนี้ จะมีการประดับโดยรอบด้วยกระดิ่งเล็ก ๆ และระฆังใบเขื่องหลายใบ เพื่อให้เข้ากับตำนานและความเชื่อดั้งเดิม สายลมพัดที่โชยผ่านป่าสนมาตามลานหินกว้างจะขยับกระดิ่งใบเล็กนับสิบใบให้เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋ง เป็นระยะ นาน ๆ จะแว่วเสียงระฆังของนักเดินทางย่ำระฆัง<br />ชื่อ "พระพุทธเมตตา" นั้น เมตตาสมชื่อ บ่อยครั้งในความรู้สึกที่นักท่องเที่ยวที่ไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสักจะเดินตัดทุ่งผ่านสระแก้วกลางความมืด เพื่อมุ่งหน้าสู่ศูนย์วังกวาง ด้วยฝีเท้าที่เหนื่อยล้า ท้องหิว อากาศเย็น แสงดาวเกลื่อนฟ้า เดินดุ่มไปเรื่อยอย่างไม่รู้จบ<br />ท่ามกลางความสิ้นหวัง สิ้นแรง เสียงกระดิ่ง หรือระฆังที่ดังแว่วฝ่าความมืดเบื้องหน้าจะเป็น กำลังใจให้รุดหน้าต่อเพราะหมายความว่า อีกไม่ไกลก้าวนักจะถึงองค์พระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นหลักหมายสำคัญของการเดินทางก่อนสู่ศูนย์วังกวางซึ่งเป็นที่พัก<br />หลายคนที่เหนื่อยมาตลอดทาง ก็แวะไหว้องค์พระเพื่อความเป็นศิริมงคล บ้างก็ย่ำระฆังด้วยความดีใจ สำหรับนักเดินทางบางคนที่สังขารไม่ไหวจริง ๆ การที่ได้ฟันฝ่ามาเจอองค์พระพุทธเมตตานี้เปรียบได้กับการ "รอดตาย" เลยทีเดียว<br />ไม่เชื่อรึ ก็ลองเดินไปผาหล่มสักดู หุ ๆ<br />ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 19 พ.ย. 2486 ได้มีการประกาศให้ภูกระดึงเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และมีการเตรียมการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ แต่งบประมาณจำกัด ขาดแคลนอัตรากำลังพล ทำให้เวลาล่วงเลยมาจนปี 2505 จึงประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติสำเร็จ กินพื้นที่ 217,581.25 ไร่ หรือ 848.13 จัดว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่สองของไทยรองจาก "เขาใหญ่"<a href="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KmQodpzyI/AAAAAAAAABc/QWrHGT5k_JY/s1600-h/pic.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5432086905232150306" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 342px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2KmQodpzyI/AAAAAAAAABc/QWrHGT5k_JY/s400/pic.jpg" border="0" /></a><br /><br />อ้างอิง จาก <a href="http://student.nu.ac.th/golf_47191614/">http://student.nu.ac.th/golf_47191614/</a>ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1629904725486741483.post-789945044822997832010-01-28T18:46:00.000-08:002010-01-29T01:05:43.575-08:00ประวัติภูกระดึง<a href="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2JPg2mAx1I/AAAAAAAAABM/JHLpowv6hr4/s1600-h/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431991526391596882" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 154px; CURSOR: hand; HEIGHT: 111px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_6RlRwhtdgy8/S2JPg2mAx1I/AAAAAAAAABM/JHLpowv6hr4/s320/images.jpg" border="0" /></a><br /><div>ประวัติภูกระดึง ความเป็นมา และตำนาน<br />อ่าน ประวัติภูกระดึง ก่อนจะไปเที่ยวภูกระดึง จะทำให้เรารู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ในแต่ละจุดที่เราผ่านไป และเที่ยวได้อย่างสนุก บางคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าครั้งหนึ่ง ภูกระดึงเคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน ดังจะเห็นได้จากการที่มีการค้นพบซากฟอสซิวต่างๆและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่บ่งบอกได้ เอาล่ะ มาดูกันว่า ประวัติภูกระดึง และการค้นพบ มีที่มาที่ไปอย่างไร<br />ประวัติภูกระดึง<br />ตามตำนานภูกระดึงนั้น มีเรื่องเล่าว่า มีพรานผู้หนึ่งตามล่ากระทิงโทน ขึ้นไปจนถึงบนยอดเขาลูกหนึ่งในเขตตำบลศรีฐาน ได้พบพื้นที่บนยอดเขาราบเรียบและกว้างใหญ่มากเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน มีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างเรียงรายเป็นระเบียบ และยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า ฝูงกระทิง เก้ง กวาง ซึ่งหากินอยู่เป็นฝูง ๆ ไม่ตระหนกตื่นกลัวนายพราน เนื่องจากไม่เคยเห็นคนมาก่อน นับจากนั้นมา ภูกระดึงก็เริ่มเปิดตัวเองสู่สายตาชาวโลก<br />ภูกระดึงซึ่งธรรมชาติได้ปิดซ่อนเร้นมานานก็ถูกเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักแต่นั้นมาจากการเล่าลือกันมาแต่โบราณว่า มีผู้ได้ยินเสียงระฆังของพระอินทร์ที่อยู่บนเขานี้ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า ภูกระดึง หรือ ภูกะดึง เพราะคำว่า “ภู” หมายถึง ภูเขา และ “กระดึง” มาจาก “กระดิ่ง” ภาษาพื้นเมืองจังหวัดเลยแปลว่า “ระฆังใหญ่”นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับขนานนามว่า “ภูกระดึง”</div>ประวัติภูกระดึงhttp://www.blogger.com/profile/11999981675600565423noreply@blogger.com0